แคลิฟอร์เนียเพิ่งกลายเป็นรัฐแรก ในสหรัฐอเมริกา ที่บังคับให้บ้านที่สร้างใหม่ทั้งหมด ต้องติดตั้งแผงโซล่าเซลล์บนชั้นดาดฟ้าหรือหลังคาบ้าน หลังสมาชิกคณะกรรมการพลังงานแคลิฟอร์เนียลงมติเอกฉันท์ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2563 โดยมาตรการนี้อาจทำให้เจ้าของบ้านต้องชำระสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นอีก 40 ดอลลาร์สหรัฐ แต่อาจจะสามารถลดค่าไฟลงได้เดือนละ 80 ดอลลาร์สหรัฐ

โดยคณะกรรมการกล่าวว่า มาตรการใหม่นี้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้พอๆ กับการเอารถออกจากถนน 115,000 คัน และหวังว่ารัฐอื่นๆ ในสหรัฐอเมริกาจะดำเนินมาตรการตามอย่างรัฐแคลิฟอร์เนีย อย่างไรก็ตาม ผู้ต่อต้านแนวคิดนี้กล่าวว่า การติดตั้งแผงโซล่าเซลล์จะทำให้ราคาการสร้างบ้านสูงขึ้นอีกราว 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ จากที่กำลังประสบปัญหาที่อยู่อาศัยและราคาการก่อสร้างที่สูงขึ้นเป็นทุนเดิม
นักวิเคราะห์มองว่าประกาศของแคลิฟอร์เนียนี้จะทำให้แผงโซลาร์ ไม่ได้มีสถานะเป็นตัวเลือกในบ้าน แต่กลายมาเป็นของจำเป็นเทียบเท่ากับระบบท่อแก๊สหรือฮีทเตอร์ ซึ่งดีต่ออุตสาหกรรมผู้ผลิตแผงโซล่าเซลล์โดยรวม แต่เมื่อต้นปีนี้สหรัฐตั้งกำแพงภาษีนำเข้าแผงโซล่าเซลล์ในอัตราที่สูงมาก แม้ในปี 2020 จะลดเหลืออัตราร้อยละ 15 ก็ตาม แต่ที่ตั้งกำแพงภาษีสูงขนาดนี้ก็น่าจะพอเดาได้ว่าราคาแผงโซล่าเซลล์ในประเทศสหรัฐอเมริกานั้นไม่ถูก ยิ่งโดนลดตัวเลือกไปด้วยกำแพงภาษีแล้ว ก็อาจจะทำให้การแข่งขันทางด้านราคาไม่รุนแรง เพราะผู้ผลิตแผงโซล่าเซลล์ของโลก ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ที่จีน อย่างไรก็ตามมีข้อกังวลว่าประกาศนี้จะทำให้ต้นทุนสร้างบ้านในแคลิฟอร์เนียสูงขึ้นไปอีก
สินค้าโซล่าเซลล์ สหรัฐได้กำหนดภาษีนำเข้าเป็นระยะเวลา 4 ปี คือ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากการนำเข้าโซล่าเซลล์และชิ้นส่วนในอัตราภาษี 30% ในปีที่ 1 อัตรา 25% ในปีที่ 2 อัตรา 20% ในปีที่ 3 และอัตรา 15% ในปีที่ 4 โดยการนำเข้าโซล่าเซลล์ 2.5 กิกะวัตต์แรก จะได้รับการยกเว้นจากภาษีที่เพิ่มขึ้น
บริษัท San Jose-based เจ้าของยี่ห้อ SunPower กล่าวว่า ความต้องการอุปกรณ์สำหรับพลังงานแสงอาทิตย์ในที่อยู่อาศัยของโลก จะขยายตัวราวร้อยละ 50 ตามรายงานของ bloomberg
อ้างอิง sciencealert.com